ธุรกิจครอบครัวในวันฝนซา
บทเรียนการสืบทอดธุรกิจครอบครัวของผู้นำรุ่นใหม่ที่ผ่านสมรภูมิมา
(สักพัก) แล้ว
“To be trusted is a greater compliment than being loved.”
- George MacDonald
Cr. ภาพ นวพล วิริยะกุลกิจ
“ถ้าย้อนเวลาได้ คุณคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร?”
ผมตั้งคำถามต่อ “คุณต้น” ทายาทธุรกิจครอบครัววัยสี่สิบต้นๆ ที่ผมเผอิญได้สนทนาด้วยในช่วงบ่ายวันหนึ่ง
ปัจจุบันคุณต้นเป็นผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจครอบครัวชั้นนำแห่งหนึ่งของไทย
ที่สำคัญคุณต้นเป็นผู้บริหาร “สูงสุด” จริงๆ
ไม่ใช่แค่ตำแหน่งเพราะตอนนี้คุณพ่อคุณแม่วางมืออย่างจริงจังไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องการบริหารงานนานแล้ว
ทะเลาะกันได้...แต่อย่าให้รุนแรงและบานปลาย
“ผมคงไม่ทำให้เกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรง
เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าครอบครัว” คุณต้นตอบคำถามของผมด้วยนัยน์ตาที่เหมือนกำลังย้อนคิดไปถึงความขัดแย้งในอดีตที่ทำให้การกินข้าวร่วมกันของครอบครัวทุกวันอาทิตย์เปลี่ยนจากช่วงเวลาแห่งความสุขเป็นช่วงเวลาแห่งความอึดอัด
“ผมเห็นด้วยกับคุณต้นนะ”
“วิน” ทายาทธุรกิจครอบครัวอีกท่านที่ “ชนะใจ” พ่อแม่แล้วเช่นกันให้ความคิดเห็น “คนในครอบครัวอาจจะทะเลาะกันได้ แต่อย่าให้รุนแรงและอย่าให้บานปลาย”
จริงๆ แล้วถ้าครอบครัวสามารถควบคุมความขัดแย้งทางความคิดไม่ให้บานปลายกลายเป็นความรุนแรงได้อย่างที่คุณวินว่า
ครอบครัวจะได้ประโยชน์อย่างมากจากความขัดแย้งนั้น
เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นเมื่อผ่านพ้นมันไป ซึ่งแม้แต่นักสันติวิธีอย่าง
ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ อาจารย์ของผมก็ยังสนับสนุนให้คนทะเลาะกัน
ท่านไม่เคยมองว่าความขัดแย้ง หรือการทะเลาะกันเป็นสิ่งไม่ดี ท่านมองว่ามันเป็น “เรื่องปกติ” ตราบใดที่เราไม่ปล่อยให้มันพัฒนากลายเป็นความรุนแรง
ความขัดแย้งในครั้งนั้นระหว่าง
“คุณต้น” กับครอบครัวลากยาวนานหลายปีแต่จบลงด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายยอมอ่อนเข้าหากัน
ยอมรับฟังความเห็นที่ต่างกันและหาทางออกที่ทั้งสองฝ่าย ‘ยอมรับ’
ได้ โดยมีคุณพ่อเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ยอม “อ่อนลง”
เพื่อประคองให้ครอบครัวสามารถเดินไปด้วยกันได้
มื้อเย็นร่วมกันของวันอาทิตย์นั้นช่างเอร็ดอร่อยเสียเหลือเกิน
ทายาทต้องปรับทัศนคติตัวเองก่อน
“คุณต้นกำลังจะบอกผมว่าคนทั้งสองเจนเนอเรชั่นจะต้องพยายามปรับตัวเข้าหากัน
แต่หลายๆ ครอบครัวอาจจะไม่ได้โชคดีขนาดนั้นนะ (ที่ผู้ใหญ่จะยอมอ่อนให้)” ผมถามคุณต้นต่อ “ใช่ครับ
ต้องถือว่าเป็นโชคดีของผม... แต่ส่วนหนึ่งของโชคก็มาจาก ‘การเปลี่ยน’
ของตัวเราเองด้วย”
“คือต้องเข้าใจว่า
ก่อนที่เราจะคิดไปเปลี่ยนแปลงใคร ผมว่าเราน่าจะเปลี่ยนตัวของเราเองก่อน
โดยเฉพาะเรื่อง ‘ทัศนคติ’
ผมเริ่มจากการเปลี่ยนความคิดของตัวเองก่อนจะไปเปลี่ยนความคิดของคุณพ่อหรือพี่น้องคนอื่นๆ”
คุณต้นตอบคำถามของผมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น
“คิดเหมือนกัน...สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานในธุรกิจครอบครัวก็คือ
‘การปรับทัศนคติของตัวเอง’” คุณวินให้ความเห็นเสริม
“ผมเรียนรู้ที่จะมองทุกอย่างในด้านบวก ถ้าถูกต่อว่าจากคุณพ่อคุณแม่ก็ให้มองว่าได้เรียนรู้
คือได้เรียนลัดจากประสบการณ์หลายสิบปีของท่าน...
แม้ว่ามันอาจจะเป็นคำพูดที่ไม่ได้เพราะเสนาะหูนักก็ตาม” “คือเราต้องเข้าใจก่อนว่า
คนเราคิดแตกต่างกัน การเห็นต่างกันทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ ที่จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น
พ่อแม่เห็นต่างกับเราจึงทำให้เราได้ไตร่ตรองความคิดของเราอีกครั้งให้รอบคอบ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี” คุณต้นให้ความเห็นเพิ่มเติม
“ต้องเข้าใจอีกว่า คุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้เกิดมาเป็นครู” “ดังนั้น หากเราจะมานั่งวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมพ่อแม่ไม่ทำอย่างนั้น
ไม่พูดอย่างนี้ ไม่สอนอย่างนั้น อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก” คุณวินยกประเด็นเรื่องที่ทำให้ทายาทธุรกิจครอบครัวหลายต่อหลายคนต้องปวดใจเมื่อถูกพ่อแม่ต่อว่าต่อขาน
อุปสรรคนั้นมีอยู่ตลอดเวลา...ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหา!
“อะไรคืออุปสรรคครั้งสำคัญในช่วงที่ผ่านมาในฐานะทายาทธุรกิจครอบครัว?”
ผมยิงคำถามต่อ
“อุปสรรคมีอยู่ตลอดครับ ที่สำคัญคือต้องตั้งสติให้ดี” คุณวินตอบอย่างรวดเร็ว “อุปสรรคเมื่อมีอยู่ตลอดเวลา
อุปสรรคจึงไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางที่เราจะต้องก้าวข้ามไป” คุณต้นแชร์แนวคิดที่น่าสนใจที่สะท้อนการ ‘คิดบวก’
ของคนทั้งคู่
“ย้อนกลับไปว่า...ทำไมทั้งสองคนถึงเลือกที่จะเข้ามาทำงานในธุรกิจครอบครัว?”
“เป็นอุบัติเหตุครับ... คือมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ! คุณแม่ผมประสบอุบัติเหตุ
ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเข้ามาช่วยท่านในช่วงที่ท่านยังไม่หายดี แต่จากวันนั้นก็ยาวมาจนถึงทุกวันนี้
ก็ประมาณ 16 ปีล่ะ” คุณวินแชร์ประสบการณ์จับพลัดจับพลู่ที่ทำให้ต้องมาทำงานในธุรกิจครอบครัว
“ส่วนผมนี่เรียนจบก็ถูกเรียกตัวให้เข้ามาช่วยกิจการที่บ้านทันที
ไม่ได้มีโอกาสไปทำงานเรียนรู้จากที่อื่นเลย และพอเข้ามาก็อย่างที่คุณวินพูด
พ่อแม่ไม่ได้เกิดมาเป็นครู ผมจึงต้องใช้วิธีเรียนรู้ด้วยตัวเอง เรียนรู้จากทุกคนที่อยู่รอบข้าง
ไม่ได้มีใครมานั่งสอนงาน”
เห็นทีทายาทธุรกิจครอบครัวของเราจะต้องฝึกฝนสกิล ‘ครูพักลักจำ’ กันให้ดี
ธุรกิจครอบครัวสอนให้รู้จักรับผิดชอบและมีความอดทน
“ประสบการณ์จากการที่ได้ทำงานในธุรกิจครอบครัว สอนอะไรคุณบ้าง?” ผมถามเพื่อนทั้งสองคน
“สำหรับผมมันคือความรับผิดชอบ มันเป็นความรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้นและก็ยังคือสิ่งนั้นจนถึงทุกวันนี้”
คุณวินแชร์ความคิดที่ทายาทหลายๆ คนน่าจะเข้าใจกันได้ไม่ยาก “สำหรับผม ธุรกิจครอบครัวสอนผมเรื่องความอดทน ถ้าขาดสิ่งนี้
ผมคงจะออกจากธุรกิจครอบครัวไปนานแล้ว” “ความอดทนเพื่อจะพิสูจน์ตัวเอง
(กับพ่อแม่) คือแรงขับดันของผม” “และถ้าผมจะฝากอะไรถึงคุณพ่อคุณแม่ของครอบครัวอื่นๆ
ได้ซักอย่าง ผมอยากจะฝากให้ท่านเปิดช่องให้ลูกๆ ของท่านได้แสดงฝีมือ
ซึ่งนั้นจะทำให้พวกเขาได้เติบโตอย่างแท้จริง” “คิดต่างกันให้มาร่วมกัน คุณพ่อคุณแม่มีประสบการณ์ ลูกๆ มีพลังล้นเหลือ...แต่ก็ต้องรู้จักฟังคนอื่นด้วย”
คุณต้นฝากข้อคิดไปถึงคนทั้งสองเจนเนอเรชั่น
“ชนะใจพ่อแม่” เป็น Long-term
Project
มาถึงคำถามที่ผมอยากรู้และคิดว่าทายาทธุรกิจครอบครัวหลายคนก็คงอยากจะรู้เหมือนกัน
“ใช้เวลานานแค่ไหนในการ ‘ชนะใจ’
พ่อแม่?” เพื่อนทั้งสองคนนั่งนิ่งกันไปซักพัก
สายตามองขึ้นฟ้า ดูเหมือนกำลังใช้พลังความคิดกันอย่างเต็มที่ คุณต้นตอบก่อนเป็นคนแรก
“ผมคิดว่าน่าจะประมาณ 10 ปีหลังจากเริ่มเข้ามาทำงานที่บ้าน
...คือที่คิดว่าชนะใจเค้าได้แล้วก็คือ ปีนั้นคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวกัน 9 ครั้ง! ก็เลยคิดว่า เขาคงไว้ใจเราแล้วล่ะ” คุณต้นกล่าวด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม
น่าสนใจมาก! ผมคิดในใจ...ถือเป็น ‘ตัวชี้วัดความไว้วางใจ’
ของพ่อแม่ที่มีต่อทายาทรุ่นใหม่ที่น่าสนใจเลยทีเดียว คุณวินตามมาด้วยตัวเลขคร่าวๆ
ที่ 6-11 ปี ผมคิดจะถามคุณวินต่อว่าคุณพ่อคุณแม่เริ่มไปเที่ยวถี่ๆ
ในปีไหนเพื่อให้ได้ตัวเลขที่ชัดเจนซักตัวหนึ่ง แต่หยุดไว้ที่ตรงนั้นไม่ได้ถามออกไปเพราะคิดว่ายังไงตัวเลขก็คงไม่ได้ลดไปกว่านี้ซักเท่าไหร่
สารถึงทายาทธุรกิจรุ่นใหม่จากพี่ๆ
2 คนที่ผ่านมาแล้วกับ ‘สมรภูมิ’
ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ปมขัดแย้ง และอุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่เมื่อวันที่ฝนซาฟ้าใส...
ในบ่ายวันนั้นที่เราได้มานั่งคุยกัน ผมได้เห็นแววตาของผู้นำรุ่นใหม่ที่มีความสุขคละเคล้ากับความภูมิใจที่ได้ทำงานในธุรกิจครอบครัวของพวกเขา
สรุปประเด็นสำคัญ
1)
อุปสรรคนั้นมีอยู่ตลอดเวลา...ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหา!
2)
ทายาทต้องเริ่มจากปรับทัศนคติของตัวเองก่อนโดยเฉพาะการ
‘คิดบวก’
3)
‘ความขัดแย้ง’ เป็นเรื่องปกติ ทะเลาะกันได้...แต่อย่าให้รุนแรงบานปลาย
4)
ธุรกิจครอบครัวสอนให้รู้จัก
‘รับผิดชอบ’ และมีความ ‘อดทน’
5)
“ชนะใจพ่อแม่” เป็น Long-term
Project ที่มีโอกาสสำเร็จสูงถ้าไม่ถอดใจไปเสียก่อน
Thanks for sharing. Thoroughly loved reading it
ReplyDelete