Sunday, July 20, 2014

10 คำถาม ที่ทายาท #ธุรกิจครอบครัว อยากรู้มากที่สุด



ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่มักมีแนวคิดการทำงานและการใช้ชีวิตแตกต่างจากคนรุ่นพ่อแม่ และความแตกต่างทางความคิดระหว่างคนสองรุ่นนี้เองที่อาจกลายสภาพเป็น "ฝันร้ายของสมาชิกครอบครัวทุกคนเมื่อต้องเข้ามาทำงานร่วมกันในธุรกิจครอบครัว 

แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร? วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการ เปิดใจ แล้ว พูดคุย กัน 

ผมอยากจะชวนให้ครอบครัวลองเริ่มต้นพูดคุยกันโดยอาจเริ่มจากคำถามบางคำถามต่อไปนี้ที่ผมในฐานะที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวได้รวบรวมไว้และสรุปออกมาในรูปแบบของ 10 คำถามที่ทายาทธุรกิจครอบครัวอยากรู้มากที่สุด
                             

1. พ่อแม่คาดหวังอะไรจากลูกๆ?

          ความคาดหวัง” เป็นปัญหาหนักอกของทายาทธุรกิจครอบครัวทุกคน ด้วยความที่เป็นลูกเจ้าของธุรกิจ ความคาดหวังในตัวทายาทจึงมาจากทุกสารทิศ แต่ที่เหล่าทายาทธุรกิจหนักใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นความคาดหวังจากครอบครัวนั่นเอง

ความคาดหวังที่ไม่ชัดเจน ไม่ได้มีการพูดกันตรงๆ และการคิดไปเองของพ่อแม่ว่าลูกๆ คงรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่คาดหวังอะไร ทำให้หลายต่อหลายครั้งความคาดหวังของคนรุ่นพ่อแม่กับเหล่าทายาทไม่ตรงกัน เกิดเป็นความไม่เข้าใจซึ่งสร้างความกดดันให้กับทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ความคาดหวังของพ่อแม่จึงเป็นหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่เหล่าทายาทธุรกิจครอบครัวอยากรู้มากที่สุด ซึ่งการได้พูดคุยกันอย่างเปิดอกน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคำถามข้อนี้

2. ถ้าลูกไม่ทำงานที่บ้านเลยได้มั้ย?

การทำธุรกิจครอบครัวบางครั้งก็ไม่ใช่อุดมคติของเหล่าทายาท ลูกๆ หลายคนได้รับการศึกษาอย่างดี มีโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้านอื่นที่ตนสนใจอยู่มากมาย แต่ต้องกลับมาทำงานที่บริษัทหรือโรงงาน มีแต่ลูกน้องไม่มีเพื่อน มีแต่ความกดดันจากคนรอบข้าง ทำดีคือเสมอตัว

ดังนั้น ทายาทหลายคนจึงมองเห็นโอกาสของการให้ มืออาชีพ (Professional) เข้ามาช่วยบริหารงานแทน ทายาทมักให้ความสำคัญต่อความเหมาะสมของมืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถเหมาะกับงานซึ่งน่าจะทำให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าไปได้อย่างดีที่สุด แล้วมองตนเองว่าเป็น เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นที่คอยให้นโยบายแก่มืออาชีพที่เข้ามาบริหาร การให้มืออาชีพเข้ามาช่วยบริหารจึงเป็นเหมือน “Win-Win Solution” ในสายตาของทายาท แต่คนรุ่นพ่อแม่จะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่ จึงเป็นสิ่งที่ทายาทอยากได้ยินจากครอบครัว

3. พอใจกับผลงานของลูกหรือไม่ และอยากให้ลูกปรับปรุงอะไรบ้างเพื่อให้ดีขึ้น?

เมื่อเข้ามาช่วยงานสักระยะแล้ว คำถามสำคัญที่ทายาทแทบทุกคนอยากจะรู้ก็คือ แล้วคุณพ่อคุณแม่พอใจผลงานของพวกเขาหรือไม่ “ฟีดแบ๊ก” (Feedback) หรือความเห็นของพ่อแม่ต่อผลงานของพวกเขาเหล่านี้ แม้บางครั้งจะเป็นสิ่งที่โหดร้าย แต่เหล่าทายาทต่างก็อยากจะได้ยินเพื่อที่จะนำมาปรับปรุงแก้ไข และข้างล่างนี้ก็คือฟีดแบ๊กบางส่วนที่ได้รับมาจากคุณพ่อคุณแม่ ทายาทธุรกิจลองรับฟังกันดูครับ

อยากให้ลูกตั้งใจทำงาน ศึกษางานให้ดีๆ
ให้ปรับเวลาทำงานให้เหมือนกับชาวบ้านชาวช่องเค้า
อยากให้ลูกจัดลำดับความสำคัญของงานกับเรื่องส่วนตัวให้ชัดเจน
ให้สร้างบารมีและความไว้เนื้อเชื่อใจของคนรอบตัวให้ได้
...ใจเย็นๆ
ก็ลองทำดู ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวพ่อแม่กลับมาช่วย!!”

            สิ่งสำคัญประการหนึ่งก็คือการที่พ่อแม่ไม่เอาลูกมาเปรียบเทียบกับตนเอง เพราะไม่มีใครเหมือนใคร ความสามารถที่ทำให้พ่อแม่ประสบความสำเร็จในวันนั้น อาจไม่ใช่ความสามารถที่จะทำให้ทายาทประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ ดังนั้น ลูกๆ อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนคุณ 100% เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ เขาอาจตื่นสายและยังประสบความสำเร็จอย่างมากมายในเส้นทางและวิธีของเขาได้

4. คิดว่าลูกพร้อมจะสืบทอดธุรกิจของครอบครัวหรือยัง?

อีกคำถามสำคัญที่ทายาทอาจติดค้างในใจ คือคำถามที่ว่าคุณพ่อคุณแม่คิดว่าพวกเขา พร้อมแล้วหรือยังกับการเป็นผู้นำองค์กรแห่งนี้ แล้วพวกท่าน มั่นใจในตัวทายาทมากน้อยแค่ไหน ? ทายาทบางคนอาจมีคำถามที่สะท้อนความสับสนในใจ เช่น เมื่อไหร่จะเห็นเราเป็นผู้ใหญ่ (ซะที)?!!”

เมื่องานเริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น ความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อำนาจการตัดสินใจยังรวมศูนย์อยู่ที่คนรุ่นก่อนไม่ได้กระจายออกมาให้เหล่าทายาทซักที ประกอบกับการ Override อำนาจการตัดสินใจของทายาทจากพ่อแม่ก็ยิ่งสร้างปั่นป่วนใจให้กับทายาท คำถามสำคัญของพ่อแม่ก็คือทายาทพร้อมแล้วหรือยังกับความเป็นผู้นำ

แล้วลูกคิดว่าพร้อมหรือยัง และจะพร้อมเมื่อไหร่?
คิดว่าลูกพร้อมแล้ว แต่...ยังต้องศึกษางานต่อเนื่องอีกเยอะ
ลูกๆ ก็ต้องพิสูจน์มาก่อนจนกว่าพ่อแม่จะไว้ใจ
ก็เมื่อไหร่ที่พ่อแม่คิดว่าลูกพร้อมก็นั่นแหละ ...น่าจะอีกซัก 4-5 ปี...
ก็เมื่อแบงค์ยอมปล่อยสินเชื่อโดยพ่อแม่ไม่ต้องค้ำ!!”

คำตอบต่างๆ ของพ่อแม่ได้สะท้อนความคิดที่อยู่ลึกๆ ออกมา ซึ่งดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีใครอยากจะทำงานต่อไปนานๆ เพราะต่างก็เหนื่อยกันมามาก แต่ก็ติดที่ยังเป็นห่วง ยังรู้สึกว่าลูกๆ ยังไม่พร้อมนั่นเอง ทางออกของเหล่าทายาทจึงอยู่ที่การสร้างความมั่นใจให้เหล่าพ่อแม่ให้เกิดขึ้นให้ได้

5. มีแผนจะเกษียณเมื่อไหร่ และได้วางแผนส่งมอบธุรกิจแล้วหรือยัง?

         
ทายาทหลายๆ คนคงอยากถามคุณพ่อคุณแม่ตรงๆ ว่า “เมื่อไหร่จะวางมือซักที?” คำตอบก็จะวนไปที่ข้อก่อนหน้านี้ คือ พ่อแม่ยังไม่ไว้วางใจในตัวทายาท หรือเห็นว่าทายาทยังไม่พร้อมเป็นต้น ในมุมของทายาทธุรกิจที่อยากจะรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่มีแผนที่จะเกษียณตัวเองจากธุรกิจเมื่อไหร่ สาเหตุหนึ่งก็เพื่อจะได้รู้กำหนดเวลาที่ชัดเจน เพื่อจะได้วางแผนชีวิตของตนเองได้ และอีกอย่างก็เพื่อที่จะได้วางแผนรับมอบธุรกิจครอบครัวได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะการเปลี่ยนถ่ายผู้นำนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้การผลัดใบเป็นไปอย่างราบรื่น

ลูกๆ บางคนยังมีคำถามต่อไปอีกว่า หลังจากเกษียณแล้ว จะยังเข้ามาข้องเกี่ยวกับธุรกิจอีกไหม? ในรูปแบบไหน?” พ่อแม่เกษียณแล้วจะไปทำอะไร?” เรียกว่า เป็นการมองปัญหาอย่างครบวงจรเลยทีเดียว


6. ถ้าลูกทำธุรกิจครอบครัว 'เจ๊ง' รับได้หรือไม่ ?

            คำถามสำคัญถูกยิงออกมาว่าแล้วถ้าลูกทำ (ธุรกิจครอบครัว) เจ๊ง จะรับกันได้หรือไม่อันนี้ไม่ต้องถามก็พอจะรู้คำตอบกันได้ไม่ยาก แต่คำถามนี้ก็เหมือนเป็นการสะกิดให้คนรุ่นพ่อแม่ฉุกคิดบ้างว่า การรับช่วงสืบทอดธุรกิจครอบครัวนั้น มันไม่ได้มีแต่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียว ความล้มเหลวก็มีความเป็นไปได้ และต้องการชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงที่ว่า ความสามารถในการทำธุรกิจนั้น ไม่ได้สืบทอดกันทางสายโลหิต หรือ DNA ลูกของนักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิก ก็ไม่จำเป็นจะต้องวิ่งเร็วได้เท่ากับพ่อแม่

ถ้าทำแล้วไม่เวิร์คจะเอายังไง ?” คือคำถามต่อเนื่อง ดังนั้น หากรักที่จะเห็นลูกของตนเข้ามาทำหน้าที่สืบทอดธุรกิจต่อ ก็ต้องเผื่อใจกันไว้ หรือไม่ก็ต้องเตรียมแผนสองไว้บ้าง เผื่อสุดท้ายลูกของตนไปไม่ไหวจริงๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจทีหลัง

7. เมื่อไหร่จะบอกซะทีว่ามีหนี้สิน-ทรัพย์สินเท่าไหร่ และอยู่ที่ไหนบ้าง?

ความสับสน กังวล และความไม่รู้ในสถานะที่แท้จริงทางการเงินของธุรกิจและครอบครัวก็เป็นอีกประเด็นที่สร้างความอึดอัดให้กับทายาทธุรกิจ อย่าห่วง...ถึงเวลาแล้วจะบอกคำตอบเช่นนี้ ไม่สามารถช่วยคลายความสงสัยของเหล่าทายาทได้

ในความเป็นจริงเมื่อลูกๆ ได้รู้ว่า ธุรกิจครอบครัวสามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก และยังมีโอกาสในการต่อยอดธุรกิจไปได้อีก ก็จะสามารถสร้างแรงดึงดูดให้ทายาทอยากเข้ามารับช่วงต่อได้ไม่ยาก ในขณะที่หากธุรกิจไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดี เป็นหนี้เป็นสินมาก ก็จะเป็นข้อมูลให้ลูกๆ ได้ตัดสินใจบนข้อมูลที่เป็นจริงเหล่านี้แต่เนิ่นๆ ดีกว่าให้ต้องมาตัดสินใจพร้อมๆ กับตกใจกันในภายหลัง

8. จะจัดการเรื่อง เงินเดือน หุ้น เงินปันผล ที่ดิน และจะแบ่งธุรกิจในครอบครัวอย่างไร?

            การจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนใจมากสำหรับทายาทธุรกิจครอบครัว เพราะลูกหลานคนที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอาจถูกมองไปในทางที่ไม่ดีได้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้หลายครอบครัวแตกแยกกันมาแล้ว ความชัดเจนของนโยบายการแบ่งผลประโยชน์จากการทำธุรกิจจะช่วยป้องกันและลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายในครอบครัวได้

คำถามเช่น เงินเดือนของลูกๆ ควรอยู่ในระดับใด? เทียบเคียงกับพนักงานอื่นๆ ในบริษัทแล้วเป็นอย่างไร? จะประเมินผลงานลูกๆ อย่างไร? หุ้นและเงินปันผลจะแบ่งให้แต่ละคนเท่าไหร่? เมื่อไหร่? ใช้เกณฑ์อะไร? ที่ดินจะใช้ชื่อใครเป็นคนถือโฉนด? ธุรกิจไหนจะให้ลูกคนไหน? เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญที่คนเป็นพ่อแม่จะต้องยกมาพูดคุยให้ชัดเจนเพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

9. มีนโยบายให้ เขย สะใภ้ หรือญาติเข้ามาทำงานในธุรกิจครอบครัวอย่างไร?

การบริหารสมาชิกญาติพี่น้องในกิจการครอบครัวถือเป็นสิ่งท้าทาย และเป็นประเด็นที่ทำให้หลายๆ ครอบครัวต้องแตกสลาย พี่น้องไม่มองหน้ากันมานักต่อนัก การวางแผนเรื่องคนในธุรกิจจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้นำครอบครัวไม่อาจละเลย เหล่าทายาทต่างต้องการรู้ถึงนโยบายเรื่อง เขย สะใภ้ หรือญาติๆ ในกิจการครอบครัว

หากยังไม่มีการกำหนด ครอบครัวควรหาเวลามานั่งคุยกันเพื่อกำหนดเป็นแนวทางที่เข้าใจร่วมกัน จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าแนวทางจะเป็นอย่างไร แต่อยู่ที่สมาชิกของครอบครัวได้มีเวลามาพูดคุยร่วมกันมากกว่า หรือที่เรียกว่า กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์นั่นเอง

10. จะทำอย่างไรถ้าไม่มีคนสืบทอดธุรกิจครอบครัว?

ถ้าลูกๆ ไม่เอาธุรกิจครอบครัว ขายได้หรือเปล่า ?”
แล้วมีแผนรองรับหรือเปล่าถ้าไม่มีลูกคนไหนเลยอยากทำธุรกิจครอบครัว?”

คำถามเหล่านี้ดูจะเป็นคำถามที่ทำให้คนรุ่นพ่อแม่นั่งเงียบกันไปขณะหนึ่ง อาจจะนิ่งเพื่อคิดหาคำตอบ ใคร่ครวญในสิ่งที่ผ่านมา หรืออาจไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมานั่งคิดถึงปัญหานี้!

ส่วนคำตอบอาจเป็น การหามืออาชีพมาบริหารแทน การขายกิจการออกไป หรือการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ คำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัวสำหรับทุกครอบครัว เพราะสุดท้ายแล้วแต่ละครอบครัวต่างก็มีคำตอบที่เหมาะที่สุดสำหรับตนเอง

การวิจัยอย่างไม่เป็นทางการในครั้งนี้ยังมีคำถามอีกหลายข้อที่เหล่าทายาทสงสัย เพียงแต่ความถี่ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับคำถาม 10 ข้อข้างต้น ยกตัวอย่างคำถาม เช่น ทำพินัยกรรมแล้วหรือยัง?” เมื่อไหร่จะเขียนธรรมนูญครอบครัว?” “แล้วถ้ามีธรรมนูญแล้วจะเคารพธรรมนูญนั้นหรือไม่?” มีสมาชิกครอบครัวที่ยังไม่เปิดเผยหรือเปล่า?”หลายคำถามก็คงจะต้องไปพูดคุยกันในครอบครัวต่อไป


ผมก็ได้แต่หวังว่าคำถามที่ได้จากวิจัยในครั้งนี้จะช่วยกระตุกต่อมคิดของผู้นำธุรกิจครอบครัวและอาจได้ลองนำไปเป็นหัวข้อในการพูดคุยอย่าง เปิดใจเพื่อให้เกิดความเข้าใจกันและกันมากขึ้นในครอบครัว 

.... แล้วคุณละอยากถามอะไรคุณพ่อคุณแม่?

No comments:

Post a Comment