Monday, July 21, 2014

#FamilyWelfare จัด #สวัสดิการครอบครัว #กงสี

เป็นเรื่องธรรมดาของทุกครอบครัวที่คนที่มีหุ้นมากก็อาจจะอึดอัดที่ตัวเองไม่ได้ใช้แล้วคนอื่นมาใช้ หรือคนที่มีลูกเยอะแต่หุ้นน้อยก็จะแฮปปี้ อย่างไรก็ตามถ้าจะให้ครอบครัวไปได้ด้วยดี สมาชิกครอบครัวก็จะต้องเสียสละบ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่กันไม่ได้” 

ปริญญ์ จิราธิวัฒน์

          #สวัสดิการครอบครัว ถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของการ #บริหารจัดการธุรกิจครอบครัว เพราะสวัสดิการของครอบครัวเกี่ยวข้องกับการใช้เงินของ #กงสี โดยตรง และเป็นเรื่องที่กระทบกับความเป็นอยู่ของสมาชิกครอบครัวโดยรวม


            แนวคิดเรื่อง สวัสดิการครอบครัวอาจเทียบเคียงได้กับแนวคิด รัฐสวัสดิการ ซึ่งเป็นแนวคิดในการบริหารประเทศที่กำหนดให้ภาครัฐทำหน้าที่เป็นผู้จัดสรรสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่สำคัญให้แก่ประชาชน ซึ่งจะพบได้มากในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เช่น สวีเดน นอรเวย์ ฟินแลนด์ หรือเดนมาร์ค เป็นต้น

ลักษณะเด่นของประเทศที่ใช้ระบบรัฐสวัสดิการคือการให้สวัสดิการแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ และรัฐก็เก็บภาษีอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน เช่น อัตราภาษีบุคคลธรรมดา (Personal Income Tax) ในกลุ่มคนรายได้สูงของสวีเดนและเดนมาร์คอยู่ในระดับเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ (อัตราภาษีบุคคลธรรมดาสูงสุดของไทยปัจจุบันอยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่อัตราเฉลี่ยฯ ของโลกอยู่ที่ประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 

วัตถุประสงค์สำคัญของการจัดรัฐสวัสดิการขึ้นก็เพื่อแก้ไขปัญหา ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของโลกยุคปัจจุบัน

สวัสดิการครอบครัวพยายามแก้ไขปัญหาเดียวกันนั่นก็คือปัญหาความเหลื่อมล้ำแต่ในขอบเขตที่เล็กกว่าคือเพียงแค่ในระดับครอบครัว

สวัสดิการครอบครัวคืออะไร?

            สวัสดิการครอบครัวหมายถึง สิทธิประโยชน์(Benefits) ที่บุคคลได้รับอันเนื่องจากการเป็นสมาชิกของครอบครัว สิทธิประโยชน์จะอยู่ในรูปของ ค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย ค่าเล่าเรียนสำหรับลูกหลานในตระกูล เงินเดือนสำหรับผู้สูงอายุในครอบครัว เงินช่วยเหลือสำหรับสมาชิกว่างงาน เป็นต้น สวัสดิการครอบครัวมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้สมาชิกในตระกูลมีความเป็นอยู่โดยทั่วไปในระดับที่ดี หรือ ยอมรับได้ ไม่ยากจนข้นแค้นจนต้องไปทำงานหรือทำสิ่งที่อาจจะส่งผลเสียหายต่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล

แนวคิดที่แตกต่าง อุปสรรคสำคัญของการจัดสวัสดิการครอบครัว

            ทำไมจะต้องมาจัดสวัสดิการร่วมกัน ต่างคนต่างไปดูแล (ครอบครัว) ตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?”

การจัดสวัสดิการในอีกมุมหนึ่งก็คือการที่ครอบครัวนำเงินมารวมกันเป็นกองกลางแล้วกำหนดให้มีการกระจายเงินจากกองกลางนั้นๆ ออกมาในรูปของ สวัสดิการในรูปแบบต่างๆ

            คำถามสำคัญก็คือ ทำไมจะต้องนำเงินมากองรวมกันแล้วค่อยๆ แบ่งออกไป ทำไมไม่ให้แต่ละคนบริหารจัดการเงินของตัวเองหรือครอบครัวย่อยๆ ของตัวเองผมเคยพูดคุยกับผู้นำธุรกิจครอบครัวๆ หนึ่งซึ่งตั้งเป้าหมายสำคัญของการบริหารธุรกิจครอบครัวไว้คือการแบ่ง ทรัพย์สินกองกลางทั้งหมดของครอบครัวให้พี่น้องแต่ละคนไปบริหารจัดการกันเอง ไม่ให้เหลือสิ่งที่เรียกว่า กองกลาง อีก เพราะเขาเชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยลดโอกาสความขัดแย้งระหว่างพี่น้องในเรื่องเงินๆ ทองๆ ลงได้     
      
เราจึงต้องกลับมาที่ประโยชน์พื้นฐานของการมีสวัสดิการครอบครัวซึ่งก็คือการเป็นหลักประกันใน คุณภาพชีวิตของสมาชิกครอบครัว ซึ่งในเวลาปกติเขาก็สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดี แต่ในยามที่เขาเกิดเจ็บป่วย หรือเกิดพลาดพลั้งทางธุรกิจซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดสนอย่างกะทันหัน หรือเกิดประสบเหตุเภทภัย เขาและครอบครัวก็ยังจะมี ฟูกรองรับ

สวัสดิการครอบครัวเป็นมากกว่า ประกันหมู่

แต่ถ้าไม่นับหน้าที่ของการเป็น หลักประกันในชีวิตให้แก่สมาชิกครอบครัวแล้ว สวัสดิการครอบครัวยังจะมีประโยชน์อะไรอีก? หลายๆ ครอบครัวใช้ ระบบสวัสดิการเป็นจุดเชื่อมโยงสมาชิกครอบครัวเพื่อมาบริหารเงินสวัสดิการร่วมกัน มารับประโยชน์จากสวัสดิการของครอบครัวร่วมกัน นับเป็นกุศโลบายเพื่อเชื่อมสายสัมพันธ์ในครอบครัวให้คงอยู่

ดังนั้น สมาชิกครอบครัวจึงต้องร่วมกันตอบคำถามที่สำคัญข้อนี้ให้ได้ก่อน ชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสียของการมีระบบสวัสดิการในครอบครัว เพื่อจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้
           

จัดสิทธิประโยชน์ให้เหมาะกับครอบครัว

            สวัสดิการครอบครัวมีได้หลายรูปแบบแต่โดยทั่วไปอาจแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
          (1) สวัสดิการพื้นฐาน 5 ประเภทหลัก ได้แก่
·       ค่าที่อยู่อาศัย
·       ค่ารักษาพยาบาล
·       ค่าการศึกษา
·       เงินช่วยเหลือ สำหรับผู้มีรายได้ต่ำหรือว่างงาน
·       เงินอุดหนุน เพื่อดูแลผู้สูงอายุ เด็ก และผู้พิการ

          (2) สวัสดิการเสริม เป็นสวัสดิการที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกับสวัสดิการพื้นฐาน ได้แก่
·       สาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายอื่นในบ้าน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ
·       ค่าเบี้ยประกันชีวิต
·       ค่าบำเหน็จบำนาญเมื่อเกษียณอายุ อันเป็นผลมาจากการช่วยเหลือธุรกิจครอบครัวมายาวนาน

          (3) สวัสดิการอื่นๆ แล้วแต่ครอบครัวจะกำหนด
·       รถยนต์
·       ค่าใช้จ่ายเดินทางในและต่างประเทศ / ค่ารับรอง
·       ค่างานศพ งานแต่ง งานบวช ฝากครรภ์-ทำคลอด
·       เงินเริ่มต้นธุรกิจใหม่ / เงินกู้จากครอบครัว ฯลฯ


ตัวอย่าง แผนสวัสดิการครอบครัวแบบต่างๆ
ที่มา : Family Business Asia

จากตัวอย่างทั้ง 3 แผน จะพบว่า แผน A อาจเรียกได้ว่าเป็น Subsistent Program คือ ให้เฉพาะเท่าที่จำเป็นจริงๆ เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่ความคิดเห็นอาจจะแตกต่างกันในเรื่องสวัสดิการ  แผน B เป็นแผนกลางๆ อาจเรียกได้ว่าเป็น Customized Program มีการให้ทั้งสวัสดิการพื้นฐานและสวัสดิการอื่นๆ ที่ครอบครัวเห็นชอบร่วมกัน ส่วน แผน C อาจเรียกได้ว่าเป็น Comprehensive Program คือ มีการให้สวัสดิการที่ครอบคลุมมากที่สุด เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็กที่มีเงินกองกลางพอสมควร

          ให้เท่าที่จำเป็น หรือให้อย่างครบถ้วน คือคำถามสำคัญก่อนที่จะเลือกว่าแผนใดเหมาะกับครอบครัวของคุณ

            นอกจากนี้ สวัสดิการครอบครัวอาจไม่จำกัดอยู่เพียงแค่สวัสดิการที่เป็นตัวเงินเท่านั้น สิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่มีคุณค่า เช่น เวลา หรือความใส่ใจก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เงินไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันต้องการ ดิฉันมีมากพอแล้ว แต่ขอเวลาจากลูกหลานพาไปเที่ยว พาไปไหว้พระ ดิฉันก็ดีใจแล้ว คุณแม่ท่านหนึ่งได้เคยกล่าวไว้ในการประชุมครอบครัว

สามขาของการจัดสวัสดิการครอบครัว

            หากคิดจะจัดระบบสวัสดิการขึ้นภายในครอบครัวแล้วละก็มี 3 เรื่องที่จะต้องพูดคุยไปด้วยกันเสมอ ได้แก่ (1) สิทธิประโยชน์หรือประเภทของสวัสดิการ (2) ระเบียบการให้สวัสดิการต่างๆ และ (3) ที่มาของเงินเพื่อจัดสวัสดิการ

            (1) สิทธิประโยชน์ สมาชิกตกลงร่วมกันว่าต้องการให้มีสวัสดิการประเภทใดบ้าง โดยเลือกชุดหรือ แผนสวัสดิการที่เหมาะสมกับครอบครัว
(2) ระเบียบการให้ ซึ่งได้แก่ เกณฑ์การได้รับสวัสดิการครอบครัว การบังคับให้เป็นไปตามระเบียบ หรือกติกา การกำหนดผู้ดูแลเงินกองทุนสวัสดิการ ระเบียบการเบิกจ่าย เป็นต้น ซึ่งสมาชิกครอบครัวจำเป็นต้องหารือร่วมกันโดยยึดหลัก ไม่เลือกปฏิบัติ คือถ้าเข้าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็จะได้เหมือนกัน
(3) ที่มาของเงินเพื่อจัดสวัสดิการ คือแหล่งที่มาของเงินเพื่อมาจัดสวัสดิการอาจมาได้จากหลายแหล่ง เช่น
·       จากธุรกิจครอบครัวโดยตรง โดยถือเป็นรายจ่ายของบริษัท เช่น การใช้รถของบริษัท ประกันชีวิตและสุขภาพในฐานะกรรมการ การเบิกค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทครอบครัวที่สมาชิกเป็นพนักงานอยู่ เงินกู้กรรมการ เป็นต้น
·       จากเงินปันผลที่ได้รับจากธุรกิจครอบครัว โดยอาจมีการกันเงินส่วนหนึ่งออกจากเงินปันผลของธุรกิจครอบครัว เช่น กันเงิน 10 เปอร์เซ็นต์ออกจากเงินปันผลของสมาชิกทุกคน นำมารวมกันเป็นกองกลาง แล้วบริหารเงินก้อนนี้เพื่อสวัสดิการครอบครัว
·       จากดอกผลของเงินตั้งต้นร่วมกัน เช่น สมาชิกระดมเงินทุนจากสมาชิกทุกคนหรือทุกครอบครัวย่อยๆ นำมาบริหารให้เกิดดอกผล แล้วจึงใช้ดอกผลนั้นสำหรับสวัสดิการต่างๆ เป็นต้น


ที่มา : Family Business Asia

ตัวอย่างการจัดสวัสดิการของครอบครัวจิราธิวัฒน์

ที่มา : Family Business Asia ประมวลและรวบรวมจากบทสัมภาษณ์คุณปริญญ์ และ ศ.ดร.สุทธิพันธ์ จิราธิวัฒน์

STEP BY STEP: ขั้นตอนการจัดสวัสดิการครอบครัว


ถามสมาชิกครอบครัวก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่ถ้าจะมีสวัสดิการร่วมกัน? เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการมีสวัสดิการครอบครัว แล้วจึงพิจารณา 3 ขาของการจัดสวัสดิการครอบครัว ได้แก่

1)      สวัสดิการจะมีอะไรบ้าง? อาจกำหนดเป็น ชุดของสวัสดิการ เพื่อให้ครอบครัวเลือก
2)      จะมีเกณฑ์การให้อย่างไร? ใครจะเป็นคนดูแลเงินกองกลางนี้ การเบิกจ่ายเป็นอย่างไร
3)      ที่มาของเงินเพื่อสวัสดิการจะมาจากไหน?

·     ครอบครัวหาข้อตกลงร่วมกันในครอบครัวในขาทั้ง 3 ก่อนดำเนินการต่อไป

ข้อสำคัญของการบริหารจัดการเรื่องสำคัญๆ ในครอบครัวเช่นเรื่องสวัสดิการคือต้องให้สมาชิกเห็นชอบร่วมกันก่อน ไม่เร่งร้อน มีการให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจแก่สมาชิกครอบครัวที่ครบถ้วน รอบด้าน เพื่อไม่ให้เกิดคำถามหรือข้อสงสัย ก่อนจะตัดสินใจร่วมกันต่อไปซึ่งจะทำให้ระบบสวัสดิการที่สร้างขึ้นเข้มแข็ง และสำเร็จอย่างยั่งยืน

(บทความปรับจากเนื้อหาเรื่อง Family Welfare ของ นวพล วิริยะกุลกิจ ในวารสารการเงินธนาคาร)

No comments:

Post a Comment